วันพุธที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2554

เพลงกับเด็กปฐมวัย

เพลงกับเด็กปฐมวัย

แนวทางการจัดกิจกรรมเพลงสำหรับเด็กปฐมวัย
เพลงจัดเป็นสื่อการเรียนรู้ที่ สำคัญต่อพัฒนาการของเด็กปฐมวัย เช่นเดียวกับการเล่นและเล่านิทาน เนื่องจากเพลงช่วยสร้างเสริมให้เด็กเกิดความเพลิดเพลินและกล่อมเกลาให้เด็ก เป็นคนมีจิตใจอ่อนไหว รักเสียงเพลง และดนตรี ทำให้ผ่อนคลายอารมณ์และรู้สึกมีชีวิตชีวาในการเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ รวมทั้งปลูกฝังค่านิยมวัฒนธรรม และมีลักษณะนิสัยที่ดีงาม

ประเภทของเพลงสำหรับเด็กปฐมวัย
เพลงเด็กมีหลายประเภทและหลายลักษณะตั้งแต่ในอดีตจนปัจจุบัน ทั้งที่มีมาแต่เดิมและมีการแต่งขึ้นใหม่สำหรับร้องเล่นทั่วไป เพื่อทำให้เกิดความสนุกสนานเพลิดเพลิน ทั้งยังเป็นการอนุรักษ์ภูมิปัญญาไทย ซึ่งแบ่งได้ดังนี้

เพลงกล่อมเด็ก เป็นบทร้อยกรองหรือบทกลอนสำหรับกล่อมเด็ก
ส่วน ใหญ่มีเนื้อหาบรรยายชีวิต และความเป็นอยู่ที่สะท้อนถึงความเอื้ออาทรรักใคร่ผูกพันที่แม่มีต่อลูก ซึ่งจะพบเนื้อหาของเพลงแตกต่างกันไปตามท้องถิ่น ตัวอย่างเช่น เพลงกล่อมเด็กภาคอีสานว่า "แม่ไปไร่สิหมกไข่มาหา แม่ไปนาสิหาปลามาป้อน" เพลงกล่อมเด็กภาคกลาง "กาเหว่าเอย ไข่ไว้ให้แม่กาฟัก" เพลงกล่อมเด็กมักแฝงปรัชญาคำสอนไว้อย่างแยบคาย ให้คนได้คิดเกี่ยวกับการเลี้ยงลูกที่ต้องให้ความรัก
เพลงประกอบเด็ก เป็นบทร้องร้อยกรอง / คำคล้องจอง หรือบทปลอบเด็กสำหรับ ร้องปลอบเด็กร้องไห้โยเยบ่อยให้เงียบ และเกิดความเพลิดเพลิน ตัวอย่างเช่น "กุ๊กๆ ไก่ เลี้ยงลูกจนใหญ่ ไม่มีนมให้ลูกกิน ลูกร้องเจี๊ยบๆ แม่ก็เรียกไปคุ้ยดิน ทำมาหากิน ตามประสาไก่เอย" เพลงปลอบเด็กนี้ จะต้องไห้เด็กฟังอย่างเดียวหรืออาจทำท่าทางประกอบด้วยก็ได้
เพลงเด็กเล่นเป็นบทร้อยกรอง หรือบทร้องเล่นของเด็กที่เป็นบทกลอนสั้นๆทำนอง ง่าย ให้ได้ร้องเล่นเพื่อความสนุกสนาน หรือร้องล้อเลียนหยอกล้อกันเนื้อความบางส่วนอาจไม่มีความหมาย แต่มุ่งให้จังหวะคล้องจอง และสัมผัสที่ไพเราะเป็นการส่งเสริมให้เด็กเรียนรู้คำศัพท์ทางภาษามากขึ้น และฝึกนิสัยในการจำ ตัวอย่าง เช่น "ตั้งไข่ล้มต้มไข่กิน ไข่ตกดิน เก็บกินไม่ได้"
บทร้องประกอบการเล่น เป็นร้องที่เป็นบทเพลงทำนองบทกลอนสั้นๆที่ ร้องประกอบการละเล่น เพลงส่วนใหญ่ที่ใช้ร้องจะให้จังหวะ ให้ความพร้อมเพรียงในการเล่นเกม เนื้อเพลงบางเพลงยังอธิบายถึงวิธีการเล่นด้วย ตัวอย่างเช่น "มอญซ่อนผ้า ตุ๊กตาอยู่ข้างหลัง ไว้โน่นไว้นี้ ฉันจะ ตีก้นเธอ" "โพงพางเอย ปลาเข้าลอด ปลาตาบอด เข้าลอดโพงพาง" การละเล่นนี้ยังมีประโยชน์ในการออกกำลังกาย การเล่นร่วมกันการออกเสียงภาษา การรู้จักช่วยเหลือกัน และเสริมสร้างความรู้สึกสุนทรีย์จากสัมผัสคล้องจองไพเราะด้วย
เพลงเด็กแต่งขึ้นใหม่ เป็นบทเพลงที่ใช้ประกอบการสอนเด็กปฐมวัยเป็น เนื้อเรื่องที่มีความหมาย และสามารถทำท่าทางประกอบร้องได้ เพื่อจูงใจให้เด็กรู้สึกสนุกสนานและเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ตัวอย่างเช่น เพลงดื่มนม เพลงเก็บของเล่น เพลงนิ้วมือจ๋า เพลงแปรงฟัน

การเลือกเพลงสำหรับเด็กปฐมวัย
เพลงของเด็กควรมีเนื้อร้องง่ายๆ สั้นๆ คำซ้ำๆ เสียงไม่สูงหรือต่ำเกินไปทำนองง่าย จังหวะชัดเจนไม่ช้าหรือเร็วเกินไป และควรเลือกให้เหมาะกับพัฒนาการเรียนรู้และความสามารถทางภาษาของเด็ก โดยเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 3 ปี ควรเลือกบทร้องที่เป็นคำคล้องจองง่ายๆ ส่วนเด็กอายุ 3 ปีขึ้นไป เนื้อร้องอาจยาวขึ้นได้

วิธีการแนะนำเพลงให้เด็ก
การปลูกฝังความสนใจในเพลงให้กับ เด็ก ควรเริ่มต้นตั้งแต่เล็กโดยผู้ใหญ่ร้องเพลง หรือเปิดเพลงให้เด็กฟังอย่างสม่ำเสมอ ในช่วงแรกเด็กจะสนใจจังหวะและเคลื่อนไหวร่างกายตามจังหวะ และเริ่มจดจำเนื้อร้องในเพลงเมื่อได้ยินเพลงเดิมซ้ำบ่อยๆ ในการแนะนำเพลงให้กับเด็กควรดำเนินการ ดังนี้
- นำเสนอเพลงที่มีเนื้อร้องสั้นๆ มีคำซ้ำๆ และมีทำนองง่าย โดยชักชวนให้เด็กฟังเพลงด้วยกันก่อน เด็กชอบฟังเพลงซ้ำๆ
- เปิดโอกาสให้เด็กแสดงออกตามความต้องการ เด็กจะร้องตาม ถูกหรือผิดควรให้โอกาสเด็กได้เรียนรู้อย่างค่อยเป็นค่อยไปด้วยความมั่นใจ
- ฝึกให้เด็กรู้จักเคาะจังหวะ เด็กมักมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อเสียงจังหวะเพลง อาจให้เด็กปรบมือตามจังหวะ หรือเคาะเครื่องดนตรีโดยไม่คาดหวังความถูกผิด

การเกิดฟันผุในเด็กเล็ก และการแปรงฟันในเด็ก

เกร็ดความรู้ประจำเดือนมกราคม 2553

คลินิกทันตกรรมสำหรับเด็ก

เรื่อง การเกิดฟันผุในเด็กเล็ก และการแปรงฟันในเด็ก

โดย อ.ทพ.วุฒิกุล ธนากาญจนภักดี

ปัญหาที่สำคัญปัญหาหนึ่งของระบบทันตสาธารณสุขในประเทศไทยนั่นก็คือการเกิด โรคฟันผุในเด็กปฐมวัย จะเห็นได้จากการสำรวจสภาวะทันตสุขภาพแห่งชาติครั้งที่ 6 พ.ศ. 2550 พบว่าเด็กไทยอายุ 3 ปีมีอัตราการเกิดโรคฟันผุในฟันน้ำนมสูงถึงร้อยละ 61.37 และเด็กไทยอายุ 5 ปีมีอัตราการเกิดฟันผุในฟันน้ำนมสูงถึงร้อยละ 80.64 ทำให้มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่เจ้าหน้าที่ทางทันตสาธารณสุขทุกคนต้องร่วมมือ กันในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวนี้
การเกิดฟันผุในเด็กปฐมวัยได้มีผู้ศึกษาและให้คำจำกัดความไว้หลายชื่อ จนในปี ค.ศ. 1994 The Center for Disease Control and Prevention (CDC) ได้มีการประชุมที่ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยเสนอคำจัดกัดความเพื่อให้มีความหมายครอบคลุมการเกิดโรคในชื่อว่า Early Childhood Caries (ECC) หรือในภาษาไทยใช้คำแทนว่า “โรคฟันผุในเด็กปฐมวัย” ในปี ค.ศ. 1999 The National Institute of Dental and Craniofacial Research (NIDCR) ได้กำหนดเกณฑ์ในการวินิจฉัยเพื่อให้เกิดมาตรฐานเดียวกัน โดยมีนิยาม โรคฟันผุในเด็กปฐมวัย หมายถึง การมีฟันผุชนิดที่เป็นรูผุชัดเจนและยังไม่เป็นรูผุ การสูญเสียฟันไปเนื่องจากการผุ หรือมีการบูรณะฟันในฟันน้ำนมซี่ใดๆ ตั้งแต่ 1 ด้านขึ้นไปในเด็กแรกเกิดจนถึงอายุ 71 เดือน และใช้คำว่า โรคฟันผุรุนแรงในเด็กปฐมวัย (Severe Early Childhood Caries, S-ECC) ในกรณีที่มีรูปแบบการผุแตกต่างจากปกติ มีการลุกลามรุนแรงรวดเร็ว หรือเป็นการผุบนด้านของฟันที่ไม่พบการผุตามปกติ โดยให้คำจัดการความคือการพบฟันน้ำนมผุที่ด้านเรียบตั้งแต่ 1 ด้านขึ้นไปในกลุ่มอายุต่ำกว่า 3 ปี หรือในเด็ก 3-5 ปี มีรอยผุเป็นรูหรือสูญเสียฟันไปเนื่องจากการผุหรืออุด 1 ด้านหรือมากกว่าในฟันหน้าน้ำนมบน หรือมีค่า dmfs ≥ 4 (อายุ 3 ปี) ≥ 5 (อายุ 4 ปี) ≥ 6 (อายุ 5 ปี)
รูปแบบการผุของโรคฟันผุในเด็กปฐมวัย Ripa (1988) ได้อธิบายรูปแบบการผุของการเลี้ยงด้วยนมที่ไม่เหมาะสมว่าในระยะเริ่มแรก จะพบแถบสีขาว เนื่องจากมีการละลายของแร่ธาตุออกไป ใกล้ๆ กับขอบเหงือกของฟันตัดหน้าน้ำนมบน ซึ่งผู้ปกครองอาจไม่สังเกตเห็นในระยะนี้ เมื่อโรคเป็นมากขึ้น รอยสีขาวจะเปลี่ยนไปเป็นหลุมบริเวณคอฟัน อาจพบว่ามีสีดำหรือสีน้ำตาล ในกรณีที่เป็นมาก จะมีการทำลายเนื้อฟันจนไม่เหลือตัวฟันตัดหน้าน้ำนมบนทั้ง 4 ซี่ มองเห็นเป็นเพียงตอรากฟันที่มีสีน้ำตาลดำเท่านั้น แต่ในฟันตัดน้ำนมหน้าล่างจะไม่พบการผุลักษณะนี้เกิดขึ้น เนื่องจากระหว่างการดูดนม หัวนมจะวางอยู่ชิดกับเพดานปาก ส่วนลิ้นของเด็กจะวางปกคลุมฟันหน้าน้ำนมล่าง ทำให้ของเหลวไหลอาบฟันทุกซี่ในปากยกเว้นฟันหน้าน้ำนมล่าง นอกจากนี้แล้วบริเวณดังกล่าวยังมีรูเปิดของต่อมน้ำลายใต้ลิ้นและใต้ขากรรไกร ล่าง ที่ทำให้มีน้ำลายช่วยในการชะล้างลดความเป็นกรดของคราบจุลินทรีย์ด้วย
หน้าที่ของฟันน้ำนมนอกจาก การบดเคี้ยว การออกเสียง และความสวยงามแล้ว ยังมีความสำคัญในการเป็นแนวนำทางการขึ้นให้กับหน่อฟันแท้ และยังมีความสำคัญในการเจริญเติบโตของขากรรไกรและใบหน้า เนื่องจากระยะชุดฟันน้ำนมอยู่ในช่วงที่เด็กอยู่ในวัยที่มีการเจริญเติบโต หากมีการเกิดโรคฟันผุในเด็กปฐมวัยเกิดขึ้นทำให้เกิดผลกระทบหลายด้านไม่ว่าจะ เป็นพัฒนาการทางด้านร่างกายที่พบว่ากลุ่มที่เป็น ECC จะมีน้ำหนักตัวน้อยกว่ากลุ่มปกติ และเด็กที่มีฟันน้ำนมผุมักจะมีแนวโน้มที่ฟันถาวรจะมีการผุด้วยในอนาคต นอกจากนี้ยังมีผลกระทบเรื่องเศรษฐกิจเนื่องจากการรักษาที่มักจะมีความยุ่ง ยากและความร่วมมือในการรักษาที่ต่ำ ทำให้บางครั้งอาจต้องรักษาภายใต้การดมยาสลบ
โดยแนวทางในการป้องกันการเกิดโรคฟันผุในเด็กปฐมวัยนั้น American Academic of Pediatric Dentistry (AAPD revised 2008) ได้ให้วิถีทางในการดูแลไว้คือ
  • ลดเชื้อสาเหตุการเกิดโรคฟันผุในช่องปากมารดาหรือผู้เลี้ยงดู เพื่อลดโอกาสการส่งผ่านเชื้อไปยังเด็ก
  • ลดการใช้ภาชนะที่ปนเปื้อนน้ำลายร่วมกันระหว่างเด็กกับคนในครอบครัว เพื่อลดโอกาสการส่งผ่านเชื้อไปยังเด็ก
  • เพิ่มพูนคำแนะนำในการดูแลสุขภาพช่องปากก่อนฟันซี่แรกจะขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง การเด็กหลับคาขวดนมควรได้รับการทำความสะอาดช่องปากก่อนเข้านอน แปรงฟันโดยใช้ยาสีฟันผสมฟลูออไรด์สำหรับเด็กวันละสองครั้ง เริ่มใช้ไหมขัดฟันเมื่อฟันที่ขึ้นมาชิดกัน
  • ให้ dental home ภายใน 6 เดือนหลังจากฟันซี่แรกขึ้น หรืออย่างช้าเมื่อเด็กอายุ 12 เดือน เพื่อประเมินความเสี่ยงการเกิดฟันผุ และให้คำแนะนำวิธีการดูแลสุขภาพช่องปาก
  • หลีกเลี่ยงการให้อาหารทางขวดนมที่เสี่ยงต่อการเกิดฟันผุ
การลดเชื้อสาเหตุในการเกิดโรคฟันผุในช่องปากโดยการแปรงฟันนั้นจะเริ่มแปรง ตั้งแต่ฟันซี่แรกของเด็กเริ่มขึ้น โดยใช้ยาสีฟันผสมฟลูออไรด์สำหรับเด็กในเด็กเล็กอายุน้อยกว่า 2 ปี จะให้ยาสีฟันเพียงเล็กน้อย ป้ายบางๆ ที่แปรงสีฟัน ส่วนเด็กที่มีอายุ 2-5 ปีจะให้ยาสีฟันขนาดเท่าเม็ดถั่วเขียว โดยแปรงวันละสองครั้งเช้าเย็น ซึ่งการแปรงฟันจะกระทำโดยผู้ปกครองเนื่องจากพัฒนาการในการใช้กล้ามเนื้อของ เด็กจะยังไม่ดีพอ ที่จะทำความสะอาดได้ดี ทำให้ผู้ปกครองต้องดูแลให้จนอายุประมาณ 8 ปี ในเด็กที่ยังไม่เคยทำความสะอาดช่องปากมาก่อนนั้นแรกๆ จะมีการร้องไห้และต่อต้านจากเด็กซึ่งเป็นเรื่องปกติที่พบได้บ่อย ผู้ปกครองเองต้องแข็งใจ ทำการแปรงฟันให้ลูกให้เป็นนิสัยเหมือนการอาบน้ำ พอทำไปซักระยะเด็กก็จะยอมรับว่าเป็นกิจวัตรประจำวันอย่างหนึ่ง ที่ต้องปฎิบัติทุกวัน และยินยอมที่จะแปรงฟันโดยไม่ขัดขืน หากใจอ่อนไม่ยอมแปรงให้เพราะกลัวลูกร้อง โอกาสที่จะเกิดโรคฟันผุในเด็กปฐมวัยก็จะสูงแน่นอน ก็จะเหมือนกับสุภาษิตที่ว่า พ่อแม่รังแกฉัน โดยการแปรงฟันสิ่งสำคัญคือเราต้องรู้ว่า
  • เหตุใดจึงต้องแปรงฟัน เพื่อเป็นการทำความสะอาดช่องปากและฟันโดยขจัดเชื้อโรคออกไป โดยเชื้อเหล่านี้จะเป็นสาเหตุก่อให้เกิดโรคฟันผุและโรคเหงือกอักเสบได้
  • เราแปรงอะไรออกจากฟัน การแปรงฟันไม่ใช่เพียงแค่การขจัดเศษอาหารออกไป แต่เป็นการขจัดคราบเชื้อโรค ที่ติดอยู่บริเวณตัวฟันและลิ้นออกไป โดยคราบเหล่านี้จะเห็นเป็นลักษณะสีขาวหรือสีเหลืองบนตัวฟัน
  • ทราบได้อย่างไรว่าแปรงฟันสะอาดแล้ว หากแปรงฟันสะอาดแล้วจะพบว่าฟันมีลักษณะผิวเรียบมันวาว เมื่อเอาเล็บหรือไม้จิ้มฟันขูดบนตัวฟันจะไม่พบคราบจุลินทรีย์ติดออกมา
  • หากฟันเริ่มผุจะสังเกตได้อย่างไร โดยลักษณะฟันที่เริ่มผุจะยังไม่เป็นรูสีดำ แต่จะเริ่มจากการที่เราเห็นลักษณะของผิวฟันเป็นสีขุ่นขาวเหมือนชอล์กบริเวณ ที่พบได้บ่อยคือตามขอบเหงือกของตัวฟัน (มีภาพประกอบการสอน) โดยรอยโรคเริ่มแรกเหล่านี้อาจเปลี่ยนแปลงเป็นฟันผุที่เห็นเป็นรูก็ได้ หรือไม่เปลี่ยนแปลงเป็นฟันผุก็ได้หากมีการทำความสะอาดฟันขจัดคราบจุลินทรีย์ ได้ดี